Thursday, January 2, 2014

ข้อแนะนำการดูแลผู้ที่มีข้อเข่าเสื่อม จาก AAOS May 2013

ขอ update ความรู้เกี่ยวกับการดูแลผู้ที่มีข้อเข่าเสื่อม จาก Clinical Practice Guideline ซึ่งเป็น evidence-based recommendation ของ American Academy of Orthopaedic Surgeons (AAOS) ซึ่งฉบับเต็มเป็นเอกสารประมาณ 1,200 หน้า มีข้อแนะนำทั้งหมด 15 ข้อ แต่ที่เกี่ยวข้องกับนักกายภาพบำบัดตรงๆมี 3 ข้อ เลยเอาย่อๆมาเล่าให้คนในวงการกายภาพบำบัดรับทราบก่อน ดังนี้ 

RECOMMENDATION 1
We recommend that patients with symptomatic osteoarthritis of the knee participate in self-management programs, strengthening, low-impact aerobic exercises, and neuromuscular education; and engage in physical activity consistent with national guidelines.
Strength of Recommendation: Strong หมายความว่าเป็นสิ่งที่ต้องทำ

RECOMMENDATION 2
We suggest weight loss for patients with symptomatic osteoarthritis of the knee and a BMI ≥ 25.
Strength of Recommendation: Moderate หมายความว่าควรทำ

RECOMMENDATION 3A
We cannot recommend using acupuncture in patients with symptomatic osteoarthritis of the knee.
Strength of Recommendation: Strong หมายความว่าไม่แนะนำให้ฝังเข็ม

RECOMMENDATION 3B
We are unable to recommend for or against the use of physical agents (including electrotherapeutic modalities) in patients with symptomatic osteoarthritis of the knee.
Strength of Recommendation: Inconclusive หมายความว่ายังมีหลักฐานการวิจัยไม่พอที่จะแนะนำให้ทำหรือไม่ทำ

RECOMMENDATION 3C
We are unable to recommend for or against manual therapy in patients with symptomatic osteoarthritis of the knee.
Strength of Recommendation: Inconclusive หมายความว่ายังมีหลักฐานการวิจัยไม่พอที่จะแนะนำให้ทำหรือไม่ทำ

จะเห็นได้ว่านักกายภาพบำบัดต้องสอนผู้ป่วยทุกรายให้ออกกำลังกาย และถือเป็นการรักษาที่มีความสำคัญที่สุดในขณะที่การใช้เครื่องมือไฟฟ้าและ manual therapy จะต้องพิจารณา
เป็นรายๆไป ใครสนใจอ่านเต็มๆเข้าไปอ่านได้ที่

http://www.aaos.org/Research/guidelines/GuidelineOAKnee.asp

ปีใหม่นี้จะพยายามหาความรู้มา update อย่างน้อยเดือนละครั้งค่ะ จะลองดูก่อนว่ามีคนสนใจอ่านไหม ขอให้ปีใหม่นี้เป็นปีแห่งการเรียนรู้และพัฒนาของนักกายภาพบำบัดไทยค่ะ

Sunday, December 23, 2012

การประกันสุขภาพกับบริษัทประกันและค่าบริการกายภาพบำบัด


การประกันสุขภาพกับบริษัทประกันและค่าบริการกายภาพบำบัด
ผศ.ดร.กานดา ชัยภิญโญ
อุปนายก สภากายภาพบำบัด

ระบบการรักษาพยาบาลในประเทศไทยแบ่งตามลักษณะของผู้ใช้สิทธิเป็น 3 กลุ่ม ประกอบด้วยกลุ่มผู้ใช้สิทธิสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล คือ ข้าราชการและลูกจ้างประจำที่จ้างด้วยงบประมาณแผ่นดินตามพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล พ.ศ. 2553  กลุ่มผู้ประกันตนตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 และกลุ่มผู้ใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพตามพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545  โดยการใช้สิทธิของแต่ละกลุ่มมีหลักเกณฑ์และข้อจำกัดในการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลแตกต่างกัน ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ประชาชนเลือกที่จะทำประกันสุขภาพเพิ่มเติมกับบริษัทเอกชนเพื่อให้สามารถเบิกค่าใช้จ่ายในการรับบริการด้านการรักษาพยาบาลที่นอกเหนือจากสิทธิตามที่กฎหมายทั้ง 3 ฉบับข้างต้นได้กำหนดไว้  และเมื่อเข้ารับบริการด้านกายภาพบำบัดซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการบำบัดรักษาโรคที่จำเป็นในหลายๆกรณี มักมีข้อสงสัย หรือมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนระหว่างผู้เอาประกันและบริษัทประกัน  ดังนั้นบทความนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดความเข้าใจในระบบการเบิกจ่ายค่าบริการกายภาพบำบัดในระบบของการประกันสุขภาพกับบริษัทประกันในแง่ของกฎหมายและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง

โดยในแง่มุมด้านกฎหมายนั้นพันตรีประพล อยู่ปาน ที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมาย สภากายภาพบำบัดได้อธิบายไว้ในเอกสารชี้แจงถึงกรมบัญชีกลางในกรณีเกี่ยวกับการเบิกค่ารักษาพยาบาลดังนี้  สำหรับหลักเกณฑ์การปฏิบัติของสถานพยาบาลของทางราชการหรือเอกชน กรณีมีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาทางกายภาพบำบัดนั้นแบ่งออกได้เป็นสองกรณีคือ กรณีที่หนึ่ง ผู้ป่วยสามารถขอรับบริการหรือการรักษาทางกายภาพบำบัดจากนักกายภาพบำบัด ณ สถานพยาบาลของทางราชการหรือเอกชนนั้นได้โดยตรง และกรณีที่สอง  ผู้ป่วยสามารถขอรับบริการหรือการรักษาทางกายภาพบำบัด โดยมีแพทย์ทั่วไปหรือแพทย์เฉพาะทางทุกสาขาของสถานพยาบาลเป็นผู้ตรวจวินิจฉัยโรค จากนั้นแพทย์จะส่งตัวผู้ป่วยพร้อมผลตรวจวินิจฉัยโรคเพื่อปรึกษานักกายภาพบำบัดดำเนินการรักษาทางกายภาพบำบัดต่อไป แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจากบทบัญญัติของกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการประกอบวิชาชีพกายภาพบำบัดของนักกายภาพบำบัด ซึ่งได้แก่ พระราชบัญญัติวิชาชีพกายภาพบำบัด พ.ศ. 2547 พระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ.2541 และข้อบังคับสภากายภาพบำบัดว่าด้วยข้อจำกัดและเงื่อนไขในการประกอบวิชาชีพกายภาพบำบัด พ.ศ.2549  จะเห็นได้ว่า กฎหมายทั้งสามฉบับข้างต้นไม่มีบทบัญญัติใดที่กำหนดว่าการประกอบวิชาชีพกายภาพบำบัดต่อผู้ป่วยของนักกายภาพบำบัดจะต้องผ่านการตรวจวินิจฉัยโรคจากแพทย์ทั่วไปหรือแพทย์เฉพาะทางทุกสาขาเสียก่อน หรือการประกอบวิชาชีพกายภาพบำบัดจะต้องมีแพทย์หรือผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมเป็นผู้ควบคุมอยู่ด้วย หรือบัญญัติห้ามมิให้นักกายภาพบำบัดออกหนังสือรับรองการรักษาทางกายภาพบำบัด ดังนั้น การประกอบวิชาชีพกายภาพบำบัดต่อผู้ป่วยของนักกายภาพบำบัดจะกระทำได้เพียงใดนั้น คงมีกำหนดไว้แต่ในข้อบังคับสภากายภาพบำบัดว่าด้วยข้อจำกัดและเงื่อนไขในการประกอบวิชาชีพกายภาพบำบัด พ.ศ.2549 เท่านั้น ซึ่งจากบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวส่งผลให้ปัจจุบันสถานพยาบาลของทางราชการหรือเอกชนมากมายหลายแห่งที่มีนักกายภาพบำบัดเป็นผู้ให้บริการสามารถทำการประกอบวิชาชีพกายภาพบำบัดต่อผู้ป่วยได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีแพทย์หรือผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมเป็นผู้ตรวจประเมินหรือควบคุมอยู่ด้วย ทั้งในภาครัฐและเอกชนเช่น คลินิกกายภาพบำบัด คณะกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยมหิดล  คลินิกกายภาพบำบัด หน่วยบริการวิทยาศาสตร์สุขภาพ   คณะสหเวชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คลินิกกายภาพบำบัด ศูนย์บริการเทคนิคการแพทย์คลินิก คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คลินิกกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ และคลินิกกายภาพบำบัดของเอกชนโดยทั่วไปจำนวนกว่า 500 แห่ง เป็นต้น

เหตุที่กฎหมายซึ่งเกี่ยวข้องกับการประกอบวิชาชีพกายภาพบำบัด มิได้บัญญัติให้การประกอบวิชาชีพกายภาพบำบัดต่อผู้ป่วยของนักกายภาพบำบัด จำเป็นจะต้องผ่านการตรวจวินิจฉัยโรคจากแพทย์ทั่วไปหรือแพทย์เฉพาะทางทุกสาขาเสียก่อน หรือจะต้องมีแพทย์หรือผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมเป็นผู้ควบคุมอยู่ด้วยนั้น เนื่องจาก พระราชบัญญัติวิชาชีพกายภาพบำบัด พ.ศ. 2547 มาตรา 3 ได้บัญญัตินิยามความหมายของคำว่า วิชาชีพกายภาพบำบัด หมายความว่า วิชาชีพที่กระทำต่อมนุษย์เกี่ยวกับการตรวจประเมิน วินิจฉัย บำบัดความบกพร่องของร่างกายซึ่งเกิดเนื่องภาวะของโรคหรือการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ........ จะเห็นได้ว่านักกายภาพบำบัดสามารถตรวจประเมินวินิจฉัย บำบัดความบกพร่องของร่างกายซึ่งเกิดเนื่องภาวะของโรคหรือการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติด้วยวิธีการทางกายภาพบำบัด หรือการใช้อุปกรณ์หรือเครื่องมือกายภาพบำบัดได้อยู่แล้ว ประกอบกับสภากายภาพบำบัดได้กำหนดแนวทางปฏิบัติอันเป็นมาตรฐานกลางของนักกายภาพบำบัดในการให้บริการทางกายภาพบำบัดที่ถูกต้องเหมาะสม ตลอดจนกำหนดมาตรการในการคุ้มครองดูแลประชาชนซึ่งเป็นผู้รับบริการด้านกายภาพบำบัด เพื่อให้เกิดความปลอดภัยจากการรับบริการทางกายภาพบัด โดยออกประกาศสภากายภาพบำบัด เรื่อง มาตรฐานบริการกายภาพบำบัด พ.ศ. 2553 ซึ่งกำหนดหลักเกณฑ์การปฏิบัติให้นักกายภาพบำบัดจะต้องทำการตรวจประเมินและวินิจฉัยทางกายภาพบำบัดในผู้ป่วยทุกราย เพื่อระบุปัญหาและความต้องการ รวมทั้งให้ข้อมูลที่จำเป็นเกี่ยวกับผลการตรวจประเมินและการให้บริการแก่ผู้รับบริการหรือครอบครัว วางแผนการดูแลและกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนสอดคล้องกับปัญหา หรือความต้องการด้านสุขภาพร่วมกันกับผู้ป่วยหรือผู้รับบริการ ดูแลรักษา ส่งเสริม ป้องกัน และฟื้นฟูสมรรถภาพให้เป็นไปตามมาตรฐานของวิชาชีพ ซึ่งเป็นที่ยอมรับว่าดีที่สุดภายใต้สถานการณ์ของหน่วยงาน โดยบุคคลที่เหมาะสม ตลอดจนมีการวางแผนการจำหน่ายผู้ป่วย เพื่อที่จะช่วยให้ผู้ป่วยกลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้โดยเร็ว นักกายภาพบำบัดจะต้องตรวจประเมินผู้ป่วยก่อนและหลังการรักษา ทบทวนการวินิจฉัยทางกายภาพบำบัดและวางแผนการดูแลรักษาเป็นระยะ หรือตัดสินใจหยุดการรักษา หรือส่งปรึกษาไปยังแพทย์ทั่วไปหรือแพทย์เฉพาะทางในรายที่ไม่เหมาะสมที่จะรักษาด้วยวิธีการทางกายภาพบำบัด หรือมีภาวะที่ต้องการการรักษาด้านการแพทย์อื่นๆ  ซึ่งสภากายภาพบำบัดได้ดำเนินการแต่งตั้งให้คณะอนุกรรมการมาตรฐานวิชาชีพทำหน้าที่กำกับดูแล ตลอดจนถึงการตรวจเยี่ยมและให้คำแนะนำแก่สถานพยาบาลต่างๆ เพื่อให้ปฏิบัติตามกฎหมายวิชาชีพกายภาพบำบัดและประกาศสภากายภาพบำบัดดังกล่าวโดยเคร่งครัดแล้ว

ดังนั้นการให้การรักษาโดยนักกายภาพบำบัดที่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพจึงสามารถกระทำได้ตามกฏหมายโดยไม่จำเป็นต้องมีคำสั่งจากแพทย์ และผู้เอาประกันจะได้รับการรักษาทางกายภาพบำบัดที่ถูกต้องจากนักกายภาพบำบัดที่มีใบประกอบวิชาชีพตามกฎหมายเท่านั้น ในขณะที่การดูแลจากแพทย์ซึ่งเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมเป็นการดูแลตามหน้าที่ของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมตามมาตรา 4 ของ พรบ. วิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2525 ซึ่งไม่รวมถึงการดูแลวิชาชีพกายภาพบำบัดซึ่งมีกฎหมายอื่นควบคุมอยู่แล้ว  อย่างไรก็ตามผู้เอาประกันจำเป็นต้องตรวจสอบสัญญาประกันที่จะทำกับบริษัทประกันว่าค่ารักษาพยาบาลที่เป็นค่ากายภาพบำบัดนั้นครอบคลุมอยู่ในเงื่อนไขการประกันในส่วนของการรับบริการผู้ป่วยนอก หรือผู้ป่วยในหรือไม่ โดยสามารถตรวจสอบจากบันทึกสลักหลังแนบท้ายสัญญาคุ้มครองสุขภาพ โดยเฉพาะในส่วนของผลประโยชน์ เช่นค่าห้อง ค่าแพทย์ และส่วนใหญ่จะกำหนดให้ค่ากายภาพบำบัดอยู่ในส่วนของค่ารักษาพยาบาลอื่นๆ (ค่ายา และเวชภัณฑ์ การตรวจทางห้องปฏิบัติการ การตรวจวินิจฉัยทางรังสีวิทยา การให้โลหิต และพลาสม่า กายภาพบำบัด ค่ารถพยาบาล ฯลฯ)  และควรตรวจสอบข้อยกเว้นสำหรับสิทธิประโยชน์การประกันสุขภาพ ซึ่งจะระบุรายการที่ทางบริษัทประกันจะไม่จ่ายไว้ด้วยเพื่อผลประโยชน์ของผู้เอาประกันเอง
           
            ดังนั้นเงื่อนไขการเบิกค่ารักษาพยาบาลกรณีของค่าบริการ จึงขึ้นอยู่กับเงื่อนไขสัญญาการประกัน แต่มิได้ขึ้นอยู่กับการที่ต้องมีแพทย์เป็นผู้สั่งการรักษาแต่อย่างใด โดยมีข้อเท็จจริงว่าหน่วยงานเอกชนต่างๆหลายแห่งซึ่งรับประกันภัยเกี่ยวกับสุขภาพสามารถให้ผู้ที่ทำสัญญาประกันสุขภาพกับหน่วยงานเอกชนนั้นสามารถนำหนังสือรับรองการรักษาทางกายภาพบำบัดที่ออกโดยนักกายภาพบำบัดที่มีเลขทะเบียนผู้ประกอบวิชาชีพไปใช้เป็นหลักฐานในการเบิกจ่ายค่ารักษาได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ความเข้าใจในสิทธิการรับการรักษาด้านกายภาพบำบัดโดยตรงของผู้ป่วย (direct access หรือ self-referral system) นี้ ในระยะยาวจะเป็นผลดีต่อทั้งผู้เอาประกันและบริษัทประกันในการลดค่าใช้จ่ายและระยะเวลาที่ต้องใช้ในระบบการส่งต่อผู้ป่วยที่ไม่จำเป็นได้

Monday, June 21, 2010

มุมมองและแนวทางการพัฒนาวิชาชีพกายภาพบำบัดในประเทศไทย


ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กานดา ชัยภิญโญ
นายกสมาคมกายภาพบำบัดแห่งประเทศไทย

มุมมองต่อวิชาชีพกายภาพบำบัดในปัจจุบัน
  
ปัจจุบันประเทศไทยยังขาดนักกายภาพบำบัดในระบบบริการทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ ตามโครงสร้างประชากรไทยในปี พ.ศ. 2568 คาดการณ์ว่าจะมีประชากรรวม 72 ล้านคน โดยมีจำนวนประชากรที่เป็นผู้สูงอายุร้อยละ 20 หรือประมาณ 14 ล้านคน ซึ่งประชากรผู้สูงอายุที่มากขึ้นนี้ มีผลกระทบต่อโครงสร้างการให้บริการสาธารณสุขของประเทศ เนื่องจากเป็นกลุ่มประชากรที่มีภาวะเสี่ยงต่อการเป็นโรคเรื้อรังต่างๆ และมีปัญหาในการเคลื่อนไหวและการดูแลตนเอง ซึ่งปัญหาดังกล่าวสามารถป้องกัน ดูแล รักษาและฟื้นฟูด้วยวิธีการทางกายภาพบำบัด 

นอกจากกลุ่มประชากรผู้สูงอายุแล้ว สภาพการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจของประเทศสู่สังคมอุตสาหกรรม ยังมีผลต่อวิถีชีวิตของประชาชนไทยที่มีการเคลื่อนไหวลดลง ทำงานในรูปแบบซ้ำๆมากขึ้น ส่งผลต่อความเจ็บป่วยของระบบประสาทกล้ามเนื้อที่ทำให้เกิดภาวะปวดเรื้อรังมากขึ้น ซึ่งปัญหาดังกล่าวมักเกิดกับประชากรวัยทำงานซึ่งหากได้รับคำแนะนำเพื่อส่งเสริมสุขภาพ ป้องกัน และดูแลรักษาทางกายภาพบำบัดที่เหมาะสมจะช่วยลดภาระทางเศรษฐกิจที่เกิดจากความเจ็บปวดเรื้อรังได้  โดยมีรายงานการวิจัยสนับสนุนว่าการป้องกันโรคในระดับทุติยภูมิ (Secondary prevention) ซึ่งหมายรวมถึงการตรวจประเมินความยืดหยุ่นและการจัดเรียงโครงสร้างของข้อต่อ (Joint flexibility and alignment) ก่อนที่จะปรากฏอาการทางคลินิก (McCloy, 2001, p. 314) จะช่วยลดการเกิดภาวะความพิการแบบชั่วคราว และถาวรในผู้ป่วยที่มีภาวะโรคข้อ โรคหัวใจ โรคปอดเรื้อรัง เบาหวาน กระดูกพรุน   การหกล้มของผู้สูงอายุ ปวดหลังเรื้อรัง และในผู้หญิงที่มีอาการกลั้นปัสสาวะไม่ได้ (Restall, Leclair & Fricke, 2005).

จากข้อมูลของสภากายภาพบำบัดในปี พ.ศ. 2552 พบว่ามีนักกายภาพบำบัดที่ขึ้นทะเบียนประกอบวิชาชีพกายภาพบำบัดประมาณ 5,200 คน แต่มีนักกายภาพบำบัดที่ยังคงปฏิบัติงานบริการในระบบสุขภาพทั้งภาครัฐและเอกชนเพียง 2,839 คน ซึ่งกระจายอยู่ในหน่วยงานต่างๆ ทั้งในภาคการศึกษา และการบริการสุขภาพ (ข้อมูลจากคณะทำงานกำลังคนกายภาพบำบัด สภากายภาพบำบัด สำรวจเมื่อ มิถุนายน 2552) นอกจากนั้นในระดับปฐมภูมิพบว่าโรงพยาบาลชุมชนที่มีนักกายภาพบำบัดปฏิบัติงานอยู่มีเพียงประมาณ 300 แห่ง จากจำนวนโรงพยาบาลชุมชนทั้งประเทศจำนวน 735 แห่ง โดยแต่ละแห่งที่มีนักกายภาพบำบัด มีจำนวนนักกายภาพบำบัดโดยเฉลี่ยเพียง 1.5 คน (ข้อมูลจาก สปสช. พฤศจิกายน 2552)  ซึ่งไม่เพียงพอต่อลักษณะงานของนักกายภาพบำบัดชุมชนที่ต้องให้บริการกายภาพบำบัดในเชิงรุกในการเยี่ยมผู้ป่วยและผู้พิการตามบ้าน ประกอบกับการให้บริการผู้ป่วยในโรงพยาบาลจำเป็นต้องมีนักกายภาพบำบัดอย่างน้อย 2-4 คนต่อโรงพยาบาลชุมชนแต่ละแห่ง ขึ้นอยู่กับจำนวนประชากรในความรับผิดชอบของแต่ละโรงพยาบาล

เมื่อคำนวณกำลังคนนักกายภาพบำบัดในปี พ.ศ. 2552 พบว่ามีสัดส่วนประชากรต่อนักกายภาพบำบัด เท่ากับ 26,097:1 ซึ่งคิดเป็นจำนวนประชากรที่รับผิดชอบ 13-16 เท่าของประเทศที่มีระบบการบริการสุขภาพในระดับมาตรฐานสากลเช่นสหรัฐอเมริกาและแคนาดาที่มีอัตราส่วนประชากรต่อนักกายภาพบำบัดที่ 1,613:1 และ 2,083:1 ตามลำดับ (Landry et al, 2009)  และเมื่อเปรียบเทียบกับสัดส่วนประชากรต่อกำลังคนด้านสุขภาพอื่นๆในประเทศไทย เช่น แพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร พยาบาล พบว่าสัดส่วนประชากรต่อนักกายภาพบำบัดมีจำนวนสูงกว่าประมาณ 3-9 เท่า
           หากคำนวณจากสัดส่วนประชากรต่อนักกายภาพบำบัดในอัตราเดียวกับประเทศแคนาดา คือ  2,083: 1 ซึ่งในปี 2568 ประชากรไทยจะมีจำนวนประมาณ 72 ล้านคน จึงควรมีนักกายภาพบำบัดถึง 32,180 คน  แต่จำนวนนักกายภาพบำบัดโดยรวมที่ผลิตได้ต่อปีในปัจจุบันทั้งจากภาครัฐและเอกชนมีจำนวน 650 คนต่อปี และถึงแม้ว่ากระทรวงสาธารณสุขและสภากายภาพบำบัดได้เล็งเห็นความสำคัญของปัญหาการขาดแคลนกำลังคนกายภาพบำบัดดังกล่าว และได้จัดให้มีโครงการผลิตนักกายภาพบำบัดเพิ่มจำนวนปีละ 100 คนเป็นเวลา 4 ปี รวม 400 คน โดยเป็นส่วนหนึ่งของแผนการลงทุนด้านสุขภาพ พ.ศ. 2553-2556 ในแผนงานการผลิตและพัฒนาบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข  และมีกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากสถาบันอุดมศึกษาเอกชน แต่นักกายภาพบำบัดที่ผลิตเพิ่มนี้จะเริ่มเข้าสู่ระบบได้ในปี พ.ศ. 2556  และเนื่องจากการสูญเสียนักกายภาพบำบัดมีอัตราค่อนข้างสูง จากเหตุผลที่เกี่ยวเนื่องกับความมั่นคงและแรงจูงใจในการประกอบวิชาชีพกายภาพบำบัด การเปลี่ยนอาชีพ การไปทำงานในต่างประเทศที่มีค่าตอบแทนสูงกว่ามาก และการเกษียณอายุ  นอกจากนั้นการขาดระบบการเสริมสร้างศักยภาพ ตลอดจนความก้าวหน้าทางวิชาการและวิชาชีพ ยังเป็นปัญหาสำคัญในการสร้างแรงจูงใจเพื่อรักษานักกายภาพบำบัดให้อยู่ในระบบบริการสุขภาพอย่างยั่งยืน  จึงทำให้จำนวนนักกายภาพบำบัดไม่เพียงพอต่อความต้องการของประเทศ


แนวทางการพัฒนาวิชาชีพกายภาพบำบัด
     1. ด้านนโยบาย สภากายภาพบำบัดและสมาคมกายภาพบำบัดแห่งประเทศไทยควรเสนอข้อมูลสถานการณ์กำลังคนนักกายภาพบำบัด และแนวโน้มปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงจำนวน และโครงสร้างประชากรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ด้านสุขภาพของชาติ และหน่วยงานที่เป็นผู้ใช้นักกายภาพบำบัด ประกอบด้วย สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงบประมาณ เพื่อให้ตระหนักถึงปัญหาและหาแนวทางป้องกันและแก้ไข นอกจากนั้นนโยบายระบบสาธารณสุขของประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายของกระทรวงสาธารณสุขควรส่งเสริมให้มีการเข้าถึงบริการกายภาพบำบัดโดยตรง (Direct access) มากขึ้น เพื่อลดภาระด้านงบประมาณ ลดขั้นตอนการปฏิบัติงาน และเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจประเมินความผิดปกติด้านการเคลื่อนไหวตั้งแต่ระยะเริ่มแรกไม่ให้กลายเป็นโรคเรื้อรัง อีกทั้งยังควรส่งเสริมให้ประชาชนมีความเข้าใจระบบสุขภาพ สามารถเลือกรับบริการสุขภาพที่เหมาะสมในเบื้องต้นได้โดยไม่จำเป็นต้องพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทุกครั้ง

             2. การพัฒนาและจัดการระบบฐานข้อมูลนักกายภาพบำบัดและสถานพยาบาลกายภาพบำบัด ที่ครอบคลุมทั้งจำนวนการผลิตในปัจจุบัน จำนวนที่มีอยู่ในปัจจุบัน การกระจายตัวของนักกายภาพบำบัด ความต้องการนักกายภาพบำบัดในด้านต่างๆ ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในการประเมินสภาพการคลาดแคลนนักกายภาพบำบัด เพื่อนำไปสู่การพัฒนาที่เหมาะสมกับบริบทของสังคมไทย ซึ่งสมาคมกายภาพบำบัดแห่งประเทศไทยและสภากายภาพบำบัดควรเป็นหน่วยงานกลางในการติดตาม ดำเนินการ และปรับปรุงฐานข้อมูลนี้เป็นประจำอย่างต่อเนื่อง ฐานข้อมูลการให้บริการกายภาพบำบัดจะช่วยให้ประชาชนทั่วไปเข้าถึงการบริการกายภาพบำบัดที่ดีได้อย่างทั่วถึง และจะเป็นพื้นฐานสำคัญในการเข้าถึงบริการกายภาพบำบัดโดยตรง (Direct access) ในอนาคต

             3. การจ้างงานนักกายภาพบำบัด ควรมีการกำหนดหลักเกณฑ์ในการจ้างงานภาครัฐให้ชัดเจนว่าเป็นการสนับสนุนงบประมาณเพื่อการจ้างงานนักกายภาพบำบัดโดยตรง ทั้งนี้เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ในการเพิ่มจำนวนนักกายภาพบำบัดในระบบสุขภาพ ไม่ใช่การใช้วิชาชีพอื่นที่ผ่านการอบรมระยะสั้นมาทดแทนเช่นที่เคยเกิดขึ้นในอดีต และในปัจจุบันในบางพื้นที่เช่นในภาคใต้ยังมีความพยายามผลักดันให้มีการอบรมเจ้าหน้าที่เช่นนี้เนื่องจากต้องการผลเร็วในระยะสั้น แต่การปฏิบัติในลักษณะนี้ไม่มีความยั่งยืนและต่อเนื่อง ทั้งนี้เนื่องจากเจ้าหน้าที่ ที่ได้รับการอบรมในระยะเวลาสั้นๆมีทักษะจำกัด และมีข้อจำกัดในการพัฒนาความก้าวหน้าทางวิชาการและวิชาชีพกายภาพบำบัด อีกทั้งยังเป็นการดำเนินการที่ขัดต่อ พรบ.วิชาชีพกายภาพบำบัด เนื่องจากเป็นการส่งเสริมให้มีการบริการกายภาพบำบัดโดยผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ประกอบวิชาชีพ นอกจากนั้นนักกายภาพบำบัดควรตระหนักถึงการสร้างเสริมศักยภาพให้สามารถเป็นผู้ประกอบการคลินิกกายภาพบำบัดเอกชนมากขึ้น เพื่อเปิดโอกาสและทางเลือกให้ประชาชนที่มีความพร้อม สามารถเลือกรับบริการที่เหมาะสมได้โดยไม่ต้องผ่านหน่วยงานของรัฐ

4. การพัฒนาผู้เชี่ยวชาญกายภาพบำบัดเฉพาะด้าน ซึ่งจะเป็นแนวทางที่สถาบันการศึกษาต่างๆต้องมีการปรับตัวสร้างนักกายภาพบำบัดที่มีความเชี่ยวชาญทางคลินิกมากขึ้น โดยไม่มุ่งเน้นเฉพาะการสร้างนักวิจัยอย่างเช่นที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เนื่องจากการสร้างนักกายภาพบำบัดที่มีความเชี่ยวชาญทางคลินิกจะช่วยให้ประชาชนได้รับบริการที่ดีขึ้น  โดยหลักสูตรควรเปิดกว้างในผู้เรียนสามารถเลือกเรียนได้ตามอัธยาศัย มีการสะสมผลการเรียนในแต่ละช่วง และสามารถรวบรวมให้ครบตามหลักสูตรของสถาบันการซึกษษ และยื่นขอสอบเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีวุฒิบัตรรับรองจากสภากายภาพบำบัดได้

การพัฒนาวิชาชีพกายภาพบำบัดนั้นจะประสบความสำเร็จได้ โดยวัดจากการเข้าถึงบริการที่มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องมีการพัฒนานักกายภาพบำบัดให้มีความสามารถเฉพาะที่โดดเด่นในความเป็นมืออาชีพด้านกายภาพบำบัดที่แตกต่างจากวิชาชีพสุขภาพอื่นๆ ในขณะที่สามารถประสานเชื่อมโยงกับระบบสุขภาพของประชาชนได้  ปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือนักกายภาพบำบัดทุกคนตระหนักถึงความรับผิดชอบในวิชาชีพ และมีความตั้งใจในการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง

เอกสารอ้างอิง
Boissonnault, W.G. (2005). Primary care for the physical therapist: Examination and triage. St. Louis, Missouri: Elsevier Ltd.
Landry MD, Ricketts TC, Fraher E, Verrier MC. Physical therapy health human resource ratios: A comparative analysis of the United States and Canada. Phys Ther, 2009, 89(2), 149-161.
Restall, G., Leclair, L., & Fricke, M. (2005). Integration of occupational therapy and physiotherapy services in primary health care in Winnipeg. Winnipeg, Manitoba: University of Manitoba.

Roberts, C., Adebajo, A. O., & Long, S. (2002). Improving the quality of care of musculoskeletal conditions in primary care. Rheumatology, 41(5), 503-508.

Sunday, August 30, 2009

Physical therapy in primary health care and community based rehabilitation

กายภาพบำบัดระดับปฐมภูมิ และการฟื้นฟูโดยชุมชน

ผศ.ดร.กานดา ชัยภิญโญ
นายกสมาคมกายภาพบำบัดแห่งประเทศไทย
kanda@swu.ac.th
30 สิงหาคม 2552

กายภาพบำบัดคืออะไร
กายภาพบำบัดเป็นวิชาชีพด้านสุขภาพที่มีเป้าหมายในการบริการคือ ให้ประชาชนมีอิสรภาพในการเคลื่อนไหวได้ด้วยตนเอง โดยการปรับสภาพร่างกายและสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสมกับสภาวะของบุคคลนั้น เพื่อส่งเสริมคุณค่าความเป็นมนุษย์และคุณภาพชีวิตให้ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
นักกายภาพบำบัดทำอะไรได้บ้าง
1. ออกแบบ สอน และให้คำแนะนำในการออกกำลังกายเพื่อส่งเสริมสุขภาพ บำบัดโรคและภาวะต่างๆ รวมถึงการออกกำลังกายเพื่อฟื้นฟูความสามารถในการเคลื่อนไหวที่มีความเฉพาะเจาะจงเป็นรายบุคคล (Individualized therapeutic exercise prescription)
2. ตรวจประเมินการเคลื่อนไหวของร่างกายในขณะอยู่นิ่งและขณะเคลื่อนไหว
a. เพื่อหาสาเหตุที่เกี่ยวข้องที่ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวที่ไม่ปกติ เช่นความบกพร่องของกำลังกล้ามเนื้อ ความยาวกล้ามเนื้อ ความตึงตัวของกล้ามเนื้อและเอ็น แนวการจัดวางตัวของกระดูกข้อต่อ
b. เพื่อประเมินคุณภาพของการเคลื่อนไหวในผู้ที่ต้องการพัฒนาให้การเคลื่อนไหวมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่นในนักกีฬาประเภทต่างๆ โดยการประเมินลักษณะและรูปแบบการเคลื่อนไหว กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และข้อต่อที่เกี่ยวข้อง
3. ออกแบบ วางแผน และให้คำแนะนำในการปรับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับศักยภาพในการเคลื่อนไหวของแต่ละบุคคล เช่นผู้สูงอายุ ผู้พิการ หรือผู้ที่ไม่สามารถใช้อวัยวะบางส่วนได้ตามปกติ
4. ให้การบำบัดรักษา โดยใช้การเคลื่อนไหว ดัดดึงข้อต่อ ยืดกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นเพื่อส่งเสริมให้เกิดการเคลื่อนไหวที่ปกติ และไม่มีอาการปวดจากการเคลื่อนไหว เช่น การบำบัดรักษาผู้ที่มีอาการปวดคอ ปวดหลัง ปวดเข่า เป็นต้น
5. ให้การบำบัดรักษา โดยใช้อุปกรณ์และเครื่องมือทางกายภาพ เช่น คลื่นไฟฟ้าความถี่สูงซึ่งประกอบด้วย คลื่นเหนือเสียง (Therapeutic ultrasound) คลื่นไมโคร (Mocrowave diathermy) และคลื่นสั้น (Shortwave diathermy) การใช้กระแสไฟฟ้าความถี่ต่ำในการกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อ และการใช้ความร้อนและความเย็นในการบำบัดอาการปวด
หลักการและเป้าหมายให้บริการกายภาพบำบัดปฐมภูมิ และการฟื้นฟูโดยชุมชน
1. การเข้าถึงบริการสุขภาพโดยเท่าเทียมกัน
2. ชุมชนท้องถิ่นและบุคคลเป็นหุ้นส่วนในการดูแลสุขภาพ ทั้งการวางแผน การดำเนินงานและการติดตามตรวจสอบ
3. รูปแบบการให้บริการพัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองต่อผลการประเมินความต้องการของชุมชนท้องถิ่น โดยตระหนักถึงจริยธรรมของการใช้ทรัพยากร
4. วิธีการบริการกายภาพบำบัดควรพัฒนาขึ้นโดยคำนึงถึงวัฒนธรรมของท้องถิ่นและสังคม
5. สนับสนุนการให้บริการแบบสหสาขาวิชา โดยมีหน่วยงานร่วมทุกระดับชั้น
6. ตระหนักว่าผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพที่แตกต่างกันมีบทบาทร่วมกันในการให้บริการสุขภาพ โดยนักกายภาพบำบัดควรมีส่วนในการแลกเปลี่ยนถ่ายทอดความรู้กับทีม
7. ในสภาวะที่เหมาะสมชุมชนและบุคคลควรได้รับการสนับสนุนให้สามารถพึ่งตนเองได้
8. การส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคควรได้รับการเอาใจใส่ และดำเนินการ ถึงแม้ว่าในขณะนั้นการฟื้นฟูจะเป็นสิ่งที่มีความต้องการมากที่สุด
9. การวิจัยที่เกี่ยวข้อง และการประเมินผลที่ค้นพบต่างๆถูกนำมาประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสม
10. มีระบบการติดตามประเมินผลการให้บริการเพื่อประโยชน์ในการทบทวนและปรับปรุงการให้บริการ
(WCPT Declaration of principle-Primary health care. Revised and re-approved June 2007)
บทบาทนักกายภาพบำบัดระบบปฐมภูมิและการฟื้นฟูโดยชุมชน
1. เป็นผู้ให้บริการโดยตรงและโดยอ้อม
2. เป็นสมาชิกของทีมสหสาขาวิชาชีพ
3. เป็นผู้ให้คำปรึกษาแก่องค์กรของรัฐ องค์กรเอกชน และองค์กรเพื่อผู้พิการ
4. เป็นผู้พัฒนา ผู้ดำเนินการ และผู้จัดการโครงการบริการสุขภาพ
5. เป็นผู้ให้ความรู้แก่ผู้ประกอบวิชาชีพสุขภาพอื่นๆรวมถึงผู้ให้การสนับสนุนอื่นๆในด้านที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวและคุณภาพชีวิต
พื้นที่การให้บริการกายภาพบำบัดระดับปฐมภูมิและการฟื้นฟูโดยชุมชน
1. ชุมชนเมือง
2. ชุมชนชนบท
3. บ้าน
4. ศูนย์สุขภาพ
5. โรงเรียนการศึกษาพิเศษด้านต่างๆ
6. โรงพยาบาลชุมชน

แนวทางในการขยายการให้บริการกายภาพบำบัดระดับปฐมภูมิและการฟื้นฟูโดยชุมชน
1. สำรวจและตรวจประเมินความสามารถในการเคลื่อนไหวและการเดินในกลุ่มประชากรที่มีความเสี่ยงต่อภาวะการเคลื่อนไหวบกพร่อง และผู้ที่มีความเสี่ยงที่จะเดินหรือเคลื่อนไหวด้วยตนเองได้ยาก เช่นผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคอ้วน โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง ผู้ที่ได้รับการผ่าตัดกระดูกและกล้ามเนื้อ เป็นต้น
2. ส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุที่มีภาวะบกพร่องทางการเคลื่อนไหว เช่น
a. ฝึกกำลังกล้ามเนื้อและการทรงตัวสำหรับผู้ที่มีข้อเข่าเสื่อมหรือปวดเข่า เพื่อให้สามารถเดินได้ด้วยตนเอง
b. สอนการยืดกล้ามเนื้อหลัง และฝึกกล้ามเนื้อหลังสำหรับผู้สูงอายุที่มีอาการปวดหลัง
c. ฝึกกำลังกล้ามเนื้อ และการทำงานประสานสัมพันธ์ของระบบประสาทกล้ามเนื้อเพื่อป้องกันการหกล้มซึ่งเป็นสาเหตุที่สำคัญที่ทำให้ผู้สูงอายุเกิดการบาดเจ็บ พิการ หรืออาจเสียชีวิตได้
3. ส่งเสริมสุขภาพผู้ที่มีภาวะเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวาน โรคอ้วน โรคหัวใจและความดันโลหิตสูง โดยการประเมินความสามารถในการเคลื่อนไหวเป็นรายบุคคล แล้วออกแบบการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับความสามารถและสภาพร่างกาย
4. ให้การบำบัดรักษาทางกายภาพบำบัดในผู้ที่มีอาการปวดหลัง ปวดคอ ปวดไหล่ และปวดข้อต่างๆ ทั้งนี้เพื่อไม่ให้อาการปวดเหล่านี้นำไปสู่ภาวะการยึดติดของข้อที่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการไม่ใช้อวัยวะส่วนนั้น และนำไปสู่ความพิการของร่างกาย
5. ติดตามให้การฟื้นฟูสภาพผู้ป่วยในชุมชนหลังจากออกจากโรงพยาบาล โดยมีเป้าหมายให้ผู้ป่วยสามารถเคลื่อนไหวได้เร็วที่สุด และตรวจประเมินความพร้อมของร่างกายเพื่อให้ผู้ป่วยกลับไปทำงาน โดยให้คำแนะนำในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่างๆที่อาจเกิดขึ้น

Tuesday, November 25, 2008

Sport Physical Therapy In Thailand

วิชาชีพกายภาพบำบัดกับการกีฬา


ผศ.ดร.กานดา ชัยภิญโญ
นายกสมาคมกายภาพบำบัดแห่งประเทศไทย
Email: kchaipinyo@gmail.com


วิชาชีพกายภาพบำบัดเป็นวิชาชีพด้านสุขภาพตามพระราชบัญญัติวิชาชีพกายภาพบำบัด พ.ศ. 2547 โดยตามพระราชบัญญัติดังกล่าวให้คำจำกัดความดังนี้

“วิชาชีพกายภาพบำบัด” หมายความว่า วิชาชีพที่กระทำต่อมนุษย์เกี่ยวกับการตรวจประเมิน การวินิจฉัย และการบำบัดความบกพร่องของร่างกาย ซึ่งเกิดเนื่องจากภาวะของโรคหรือการเคลื่อนไหวที่ไม่ปกติ การป้องกัน การแก้ไขและการฟื้นฟูความเสื่อมสภาพความพิการของร่างกายรวมทั้งการส่งเสริมสุขภาพร่างกายและจิตใจ ด้วยวิธีการทางกายภาพบำบัดหรือการใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่รัฐมนตรีประกาศโดยคำแนะนำ ของคณะกรรมการให้เป็นเครื่องมือหรืออุปกรณ์กายภาพบำบัด

“ผู้ประกอบวิชาชีพกายภาพบำบัด” หมายความว่า บุคคลซึ่งได้ขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพกายภาพบำบัดจากสภากายภาพบำบัด

ปัจจุบันมีนักกายภาพบำบัดที่ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกอบวิชาชีพในประเทศไทยประมาณ 5,000 คน และมีผู้สำเร็จปริญญาตรีสาขาวิชากายภาพบำบัดจากสถาบันอุดมศึกษาของรัฐและเอกชนประมาณปีละ 700 คน โดยมีองค์กรหลักของวิชาชีพคือสภากายภาพบำบัด สมาคมกายภาพบำบัดแห่งประเทศไทย สถาบันผู้ผลิตบัณฑิตสาขากายภาพบำบัดรวม 15 แห่ง ชมรมนักกายภาพบำบัดต่างๆ เช่นชมรมนักกายภาพบำบัดระบบการหายใจและการไหลเวียนเลือด ชมรมนักกายภาพบำบัดภาคใต้ ชมรมนักกายภาพบำบัดทางการกีฬา เป็นต้น ขอบเขตการปฏิบัติงานของนักกายภาพบำบัดมีทั้งที่ปฏิบัติงานในสถานพยาบาล สถานส่งเสริมสุขภาพ องค์กรธุรกิจ ชุมชน และโดยเฉพาะด้านการกีฬาที่นักกายภาพบำบัดได้มีบทบาทต่างๆ โดยมีการนำองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์การเคลื่อนไหวมาประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาการกีฬา ทั้งด้านการป้องกัน การรักษา การฟื้นสภาพจากการบาดเจ็บ บทบาทด้านการวิจัยและพัฒนา และมีองค์กรต่างๆด้านกายภาพบำบัดที่เกี่ยวข้องในปัจจุบัน ดังนี้

1. บทบาทของนักกายภาพบำบัดกับการกีฬาในปัจจุบัน
เป้าหมายของการให้บริการกายภาพบำบัดในการกีฬาคือการส่งเสริมให้ประชาชน และนักกีฬาสามารถเล่นกีฬาได้อย่างปลอดภัยจากการบาดเจ็บ และส่งเสริมสมรรถนะทางการกีฬาให้ถึงพร้อมที่สุดเท่าที่นักกีฬาแต่ละบุคคลจะไปถึงได้ (Individual’s best performance) ในระดับนานาชาติ กายภาพบำบัดทางการกีฬาเป็นสาขาหนึ่งของความเชี่ยวชาญในวิชาชีพกายภาพบำบัด มีการจัดตั้ง International Federation of Sports Physiotherapy (IFSP) เป็น subgroup ของ World Confederation of Physical Therapy (WCPT) ซึ่งเป็นองค์กรที่มีสมาชิกรวม 101 ประเทศทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย เพื่อกำหนดมาตรฐานของการให้บริการ การศึกษา ด้านกาย
1.1. การป้องกันการบาดเจ็บ
การให้บริการกายภาพบำบัดทางการกีฬาเพื่อป้องกันการบาดเจ็บเป็นการให้คำปรึกษา ส่งเสริม ช่วยเหลือ และให้โปรแกรมสำหรับนักกีฬาเฉพาะรายบุคคลเพื่อปฏิบัติการฝึกออกกำลังกายนั้นๆด้วยตัวของนักกีฬาเองเพื่อป้องกันการบาดเจ็บ หรือการบาดเจ็บซ้ำในกรณ๊ที่นักกีฬามีการบาดเจ็บมาก่อน ทั้งนี้โดยการกระตุ้นส่งเสริมขบวนการซ่อมแซมหรือการสมานตัวของการบาดเจ็บ (Healing process) ให้เกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด การให้บริการในส่วนนี้รวมถึงการตรวจประเมินการเคลื่อนไหวก่อนการฝึกซ้อมและแข่งขัน ทั้งในส่วนของระบบกล้ามเนื้อ ข้อต่อ และระบบหัวใจและการไหลเวียนเลือด


1.2. การตรวจประเมินการบาดเจ็บ
นักกายภาพบำบัดทางการกีฬาต้องมีองค์ความรู้ทั้งกายวิภาคศาสตร์ พยาธิวิทยา และชีวกลศาสตร์ที่เกี่ยวกับกีฬาเป็นอย่างดี และต้องมีทักษะที่ดีในการตรวจประเมินการบาดเจ็บทั้งในระยะเฉียบพลันและในระยะเรื้อรัง ทั้งที่ได้รับการผ่าตัดรักษาแล้วหรือไม่ได้รับการผ่าตัดรักษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตรวจประเมินการบาดเจ็บของระบบประสาทกล้ามเนื้อและกระดูก (Neuromusculoskeletal injuries) เพื่อการประเมินคุณภาพและลักษณะการเคลื่อนไหวที่เฉพาะเจาะจง ซึ่งเป็นสาเหตุของปัญหาการเคลื่อนไหวที่นักกีฬาจะต้องใช้ในการเล่นกีฬาแต่ละชนิด (Functional assessment of individual sports) ภายหลังจากการบาดเจ็บ จะช่วยให้นักกีฬาสามารถกลับไปเล่นกีฬาได้อย่างปลอดภัยมากขึ้น

1.3. การรักษาทางกายภาพบำบัด และการฟื้นฟู
การรักษาทางกายภาพบำบัดและการฟื้นฟูการบาดเจ็บของระบบประสาทกล้ามเนื้อและกระดูก (Neuromusculoskeletal injuries) เป็นแกนกลางของการให้บริการกายภาพบำบัดทางการกีฬา โดยเป็นการปฏิบัติงานเป็นทีมร่วมมือกับทีมผู้ให้การรักษาในทีมเวซศาสตร์กีฬาเพื่อวางแผนและให้การรักษาด้วยทักษะทางหัตถการ การใช้เครื่องมือทางกายภาพบำบัด และการออกแบบสร้างโปรแกรมการฝึกออกกำลังกายเพื่อการรักษา และนำไปใช้กับนักกีฬาเป็นรายบุคคลเพื่อจัดการปัญหาการบาดเจ็บและความผิดปกติในการเคลื่อนไหวของนักกีฬาในทุกช่วงอายุ และไม่ว่าจะมีความสามารถในการเคลื่อนไหวในระดับใด ซึ่งหมายรวมถึงนักกีฬาที่มีความพิการอย่างใดอย่างหนึ่งจนถึงนักกีฬาที่มีความสามารถระดับชาติ

1.4. การส่งเสริมสมรรถนะนักกีฬา
นักกายภาพบำบัดทางการกีฬาจะช่วยให้ผู้ที่ต้องการเล่นกีฬามีการพัฒนาสมรรถนะทางการกีฬาโดยวิธีการต่างๆ ข้อมูลพื้นฐานของการส่งเสริมสมรรถภาพได้จากการตรวจประเมินระบบประสาทกล้ามเนื้อและกระดูก และระบบหัวใจและการไหลเวียนเลือด ผลการประเมินดังกล่าวจะชี้ให้เห็นภาพรวมของความแข็งแกร่งและจุดที่มีความด้อยทางกายของแต่ละบุคคล จากนั้นจึงนำภาพรวมลักษณะทางกายนี้ไปเทียบกับระดับสมรรถนะทางกายที่ต้องการในแต่ละชนิดกีฬา ออกแบบสร้างโปรแกรมการออกกำลังกายที่มีลักษณะเฉพาะสามารถลดจุดอ่อนทางด้านความอ่อนตัว ความแข็งแรง ความทนทาน และความสามารถในการใช้พลังงานได้ เพื่อการเสริมส้รางสมรรถนะและลดการเสี่ยงที่จะเกิดการบาดเจ็บของนักกีฬา นอกจากนั้นการติดตามผลการฝึกจะช่วยให้สามารถปรับเปลี่ยนวิธีการฝึกให้เหมาะสมยิ่งขึ้นในแต่ละช่วงเวลา

1.5. การวิจัย
การด้านการรักษาทางกายภาพบำบัดและการฟื้นฟูจากการบาดเจ็บมีพัฒนาการปรับปรุงอยู่อย่างสม่ำเสมอสอดคล้องกับการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพพื้นฐานและหลักฐานทางคลินิก นักกายภาพบำบัดทางการกีฬาเป็นส่วนหนึ่งของทีมที่ทำการวิจัย และนำผลจากการวิจัยมาปฏิบัติเพื่อช่วยส่งเสริมให้นักกีฬาแต่ละบุคคลบรรลุเป้าหมาย

1.6. การศึกษา
การส่งเสริมการศึกษา และให้คำปรึกษาสำหรับนักกีฬา ผู้ปกครอง และทีมงานผู้ฝึกสอนเกี่ยวกับเทคนิคการป้องกันและจัดการการบาดเจ็บเป็นการให้บริการทางกายภาพบำบัดทางการกีฬาอย่างหนึ่ง นอกจากนั้นนักกายภาพบำบัดทางการกีฬายังมีหน้าที่ให้ความรู้ด้านนี้แก่นักกายภาพบำบัดทั่วไป ตลอดจนบุคลากรด้านสุขภาพที่เกี่ยวข้อง

2. การนำองค์ความรู้ด้านกายภาพบำบัดมาพัฒนาการกีฬาในประเทศไทย
การพัฒนาการกีฬาในประเทศไทยจำเป็นต้องมีการบูรณาการศาสตร์ต่างๆทางด้านวิทยาศาสตร์การกีฬา กีฬาเวชศาสตร์ และกายภาพบำบัด โดยมีนักกีฬาแต่ละรายเป็นศูนย์กลางของการบูรณาการความรู้สู่การปฏิบัติ ในส่วนขององค์ความรู้เฉพาะด้านทางกายภาพบำบัดนั้นจะเน้นที่ทักษะของนักกายภาพบำบัดในการเคลื่อน ดัด/ดึงข้อต่อ (Mobilization and manual therapy) การออกกำลังกายเพื่อการรักษาและการส่งเสริมสุขภาพเฉพาะด้าน การใช้ความร้อนความเย็นและอุปกรณ์ต่างๆในการรักษา การนวด และเทคนิคเฉพาะในการฝึกระบบประสาทกล้ามเนื้อและการเคลื่อนไหวโดยใช้หลักการของการควบคุมประสาทกล้ามเนื้อ (Motor control) และชีวกลศาสตร์ (Biomechanics) ซึ่งเทคนิคเหล่านี้จะต้องเลือกใช้ให้เหมาะสมกับสภาพของนักกีฬาในเวลาที่เหมาะสม และเป็นการปฏิบัติที่ต้องอาศัยทักษะและความชำนาญ ทั้งด้านการวิเคราะห์ทางคลินิก(Clinical reasoning) การตรวจประเมิน เพื่อระบุปัญหาที่บกพร่องของการเคลื่อนไหวของนักกีฬาการรักษา การออกแบบโปรแกรมการฝึกให้แก้ไขปัญหาความบกพร่องของการเคลื่อนไหวนั้นได้อย่งมีประสิทธิผล และประสิทธิภาพ ดังนั้นการนำองค์ความรู้และทักษะกายภาพบำบัดทางการกีฬามาพัฒนาการกีฬาในประเทศไทยจำเป็นต้องกระทำโดยนักกายภาพบำบัดที่มีทักษะและความสามารถเฉพาะ

การวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของนักกีฬา โดยเฉพาะในนักกีฬาที่ได้รับการบาดเจ็บมาก่อนเป็นองค์ความรู้ด้านกายภาพบำบัดที่สามารถนำมาใช้เป็นข้อมูล ประกอบกับการตรวจประเมินด้านอื่นๆ เพื่อพัฒนาสมรรถนะของนักกีฬาได้ นอกจากนั้นยังมีการวิจัยด้านกายภาพบำบัดอื่นๆที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการฝึกเพื่อเพิ่มพูนความสามารถทางกายของนักกีฬา อาทิเช่น การวิเคราะห์การทำงานของระบบประสาทกล้ามเนื้อโดยศึกษาจากการนำกระแสประสาท การตอบสนองของระบบประสาท และการทำงานของกล้ามเนื้อ การใช้ระบบสัญญาณกล้ามเนื้อป้อนกลับ เป็นต้น

นอกจากนั้นการสร้างโอกาสให้นักกายภาพบำบัดมีส่วนร่วมในทีมของบุคคลากรด้านการกีฬาในการแข่งขันต่างๆ จะช่วยให้เกิดการเรียนรู้ระหว่างวิชาชีพที่จะช่วยส่งเสริมให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่นักกีฬาต่อไปได้
3. การสนับสนุนและส่งเสริมการค้นคว้างานวิจัยเพื่อเป็นการพัฒนาองค์ความรู้งานด้านวิทยาศาสตร์การกีฬา
3.1. แนวทางการวิจัยในปัจจุบัน
· การวิจัยด้านชีวกลศาสตร์การเคลื่อนไหวของนักกีฬา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มสมรรถนะของนักกีฬาและป้องกันการบาดเจ็บ
· การวิจัยด้านประสิทธิภาพของโปรแกรมการฝึกที่ช่วยลดอุบัติการณ์การบาดเจ็บ และการบาดเจ็บซ้ำของนักกีฬาประเภทต่างๆ
· การวิจัยด้านการควบคุมและกระตุ้นระบบประสาทกล้ามเนื้อ (Neuromuscular Controls and Facilitations)
· การวิจัยผลของการใช้อุปกรณ์เสริมต่างๆต่อประสิทธิภาพการเคลื่อนไหวของนักกีฬา เช่น การใช้ผ้าเทป การใช้ความร้อน ความเย็นในช่วงต่างๆของการฝึกซ้อมและการแข่งขัน

3.2. แนวทางการวิจัยที่ควรได้รับการสนับสนุนพัฒนาเพิ่มเติม
· การสำรวจสถานการณ์ความต้องการและประสิทธิภาพของกายภาพบำบัดการกีฬาในปัจจุบัน
· แนวทางการพัฒนานักกายภาพบำบัดทางการกีฬา และผู้เชี่ยวชาญกายภาพบำบัดทางการกีฬา

4. การพัฒนาองค์กรที่เกี่ยวข้องกับกายภาพบำบัดในการกีฬา
4.1. สถานการณ์ที่ผ่านมา และปัจจุบัน
ปัจจุบันหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกายภาพบำบัดในการกีฬาประกอบด้วย สภากายภาพบำบัด สมาคมกายภาพบำบัดแห่งประเทศไทย การกีฬาแห่งประเทศไทย ชมรมนักกายภาพบำบัดทางการกีฬา มหาวิทยาลัยของรัฐและเอกชนที่มีบุคคลากรผู้สอนและมีความสนใจด้านกายภาพบำบัดทางการกีฬา คลินิกกายภาพบำบัดเอกชนที่รับรักษาและให้คำปรึกษาเฉพาะราย สมาคมกีฬาในระดับชาติและชมรมกีฬาทั่วไป

ในส่วนของสภากายภาพบำบัดและสมาคมกายภาพบำบัดแห่งประเทศไทยกำลังดำเนินการพัฒนาระบบผู้เชี่ยวชาญเฉพาะสาขา ซึ่งกายภาพบำบัดทางการกีฬาเป็นสาขาหนึ่ง โดยจัดทำข้อบังคับต่างๆที่เกี่ยวข้องและกำหนดมาตรฐานผู้เชี่ยวชาญกายภาพบำบัดเฉพาะทาง

ชมรมนักกายภาพบำบัดทางการกีฬามีการก่อตั้งมามากกว่า 10 ปีและเป็นการรวมนักกายภาพบำบัดที่มีความสนใจเข้ามาศึกษาเรียนรู้ร่วมกัน และจัดกิจกรรมพัฒนาทักษะและวิชาการก่อนการจัดการแข่งขันในระดับชาติและนานาชาติที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพเกือบทุกครั้ง เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับนักกายภาพบำบัดรุ่นใหม่ที่เริ่มเข้าสู่วงการ และเป็นการประสานงานภายในระหว่างนักกายภาพบำบัดในการเก็บข้อมูลสถิติผู้รับบริการ และประเมินผลการให้บริการกายภาพบำบัดในแต่ละรายการ ซึ่งนักกายภาพบำบัดที่เป็นบุคคลากรของมหาวิทยาลัยต่างๆที่เป็นสถาบันผู้ผลิตนักกายภาพบำบัด และนักกายภาพบำบัดจากคลินิกเอกชนมีส่วนร่วมในกิจกรรมเหล่านี้ด้วย ภาพรวมของการมีส่วนร่วมในการแข่งขันเป็นดังตาราง ที่ 1

อย่างไรก็ตามการเข้าร่วมกิจกรรมด้านการกีฬาของชมรมกายภาพบำบัดที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เป็นลักษณะงานอาสาสมัคร และเกิดจากความสนใจส่วนตัวของนักกายภาพบำบัดแต่ละท่านที่เต็มใจมาร่วมกันปฏิบัติงานในแต่ละเกมส์ ปัญหาที่เกิดขึ้นคือหลังจบการแข่งขัน นักกีฬาจะไม่ได้รับการรักษาทางกายภาพบำบัดอย่างต่อเนื่อง ทำให้ไม่ได้รับการตรวจประเมินการเคลื่อนไหวที่จำเป็นในชนิดกีฬานั้นๆ และไม่ได้ปรับโปรแกรมการฝึกให้เหมาะสมกับสภาวะการบาดเจ็บทำให้เกิดการบาดเจ็บซ้ำขึ้นอีกระหว่างการฝึกซ้อม และอาจสูญเสียโอกาสในการพัฒนาความเป็นเลิศในชนิดกีฬานั้นๆไป

ตารางที่ 1 แสดงจำนวนนักกายภาพบำบัดปฏิบัติงาน และจำนวนนักกีฬาที่เข้ารับบริการกายภาพบำบัดในการแข่งขันต่างๆที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ (ข้อมูลยังไม่ครบทุกการแข่งขัน)
ชื่อการแข่งขัน
ปี พ.ศ.
สถานที่
จำนวน
นักกายภาพบำบัด
ที่เข้าร่วมโครงการ
จำนวนนักกีฬา
ที่รับบริการ
ASIAN Games

1-20ธค 2541
ม.ธรรมศาสตร์ กทม
72
312 คน
(1,011 ครั้ง)
SEA Games




กีฬามหาวิทยาลัย
ราชพฤกษ์เกมส์
19-26 มค2550
ม.ศรีนครินทรวิโรฒ องครักษ์
26
1,055 ครั้ง
กีฬามหาวิทยาลัยโลก

1-23 ส.ค. 2550
ม.ธรรมศาสตร์ กทม
140
245 คน
(562 ครั้ง)
หมายเหตุ
1. นักกายภาพบำบัดที่เข้าร่วมโครงการนอกเหนือจากที่สังกัดหน่วยงานเจ้าภาพ จะเป็นนักกายภาพบำบัดอาสาสมัครจากหน่วยงานต่างๆของรัฐและเอกชน รวมทั้งนักกายภาพบำบัดอิสระ ที่ปฏิบัติงานเป็นผลัดตามที่สามารถลางานประจำมาได้
2. ในการแข่งขันแต่ละครั้งจะมีนิสิต นักศึกษากายภาพบำบัดอาสาสมัครช่วยงานร่วมด้วย


นอกจากนั้นเนื่องจากการพัฒนาคุณภาพและปริมาณของนักกายภาพบำบัดทางการกีฬาที่ผ่านมาและในปัจจุบันเป็นการพัฒนาจากความสนใจเฉพาะบุคคลผ่านการสะสมประสบการณ์ และการเรียนรู้ด้วยตนเองเป็นส่วนใหญ่ ประกอบกับนักกายภาพบำบัดส่วนใหญ่ปฏิบัติงานหลักในสถานพยาบาลและสถาบันการศึกษา ทำให้การปฏิบัติงานทางการกีฬาเป็นงานที่ทำนอกเหนือจากภาระงานปกติจึงทำให้การพัฒนาเป็นไปอย่างล่าช้ากว่าที่ควร

4.2. แนวโน้มและทิศทางการพัฒนา
การพัฒนาให้มีนักกายภาพบำบัดทางการกีฬาในจำนวนที่เหมาะสมกับการพัฒนาการกีฬาของประเทศไทยสามารถทำได้หลายแนวทาง ดังนี้
4.2.1. สนับสนุน และสร้างช่องทางให้นักกายภาพบำบัดที่มีความสนใจด้านการกีฬาเข้าไปมีส่วนร่วมในการแข่งขันในระดับต่างๆ เพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์ และเป็นการสร้างบุคคลากรให้มีความพร้อมในการปฏิบัติงานในสถานการณ์ต่างๆได้ แนวทางนี้เป็นการสร้างบุคคลากรที่จะได้บุคคลากรมาปฏิบัติงานในระยะสั้น
4.2.2. จัดการอบรม พัฒนาระยะสั้นที่สามารถสะสมความรู้และประสบการณ์ที่จะนำไปสู่การเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกายภาพบำบัดทางการกีฬา ในระยะเริ่มต้นอาจมีความจำเป็นต้องเชิญวิทยากรผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศมาถ่ายทอดความรู้ ทักษะ และประสบการณ์ เพื่อเป็นการสร้างฐานความรู้ในระดับที่เป็นมาตรฐานเดียวกับนานาชาติ
4.2.3. การพัฒนาหลักสูตรเฉพาะทาง กายภาพบำบัดทางการกีฬาในสถาบันการศึกษา ในระดับบัณฑิตศึกษา โดยจัดให้มีความเชื่อมโยงกับหลักสูตรการอบรมระยะสั้นในข้อ 4.2.2
4.2.4. การสนับสนุนให้มีการวิจัยและพัฒนาด้านกายภาพบำบัดทางการกีฬา เพื่อพัฒนาบุคคลากรรุ่นต่อไปให้มีการนำหลักฐานจากการวิจัยมาใช้ในการปฏิบัติมากขึ้น (Evidence based practice) เพื่อพัฒนาองค์ความรู้ด้านนี้ที่มีลักษณะเฉพาะสำหรับประชาชนไทย
4.2.5. การส่งเสริมให้งานกายภาพบำบัดทางการกีฬาเป็นงานประจำที่มีความก้าวหน้าในวิชาชีพ มีแนวทางการพัฒนาที่ชัดเจน (Career path) มีการพิจารณาค่าตอบแทนในการปฏิบัติงานในฐานะผู้เชี่ยวชาญที่เหมาะสมกับความสามารถ
4.2.6. การส่งเสริมให้นิสิต นักศึกษาระดับปริญญาตรีสาขากายภาพบำบัดได้มีการฝึกประสบการณ์วิชาชีพกับทีมกีฬาที่มีนักกายภาพบำบัดประจำ โดยเป็นส่วนหนึ่งของการฝึกงานทางคลินิก เพื่อสร้างทัศนคติที่ดีต่อการพัฒนาตนเองให้มีความสามารถด้านกายภาพบำบัดทางการกีฬาที่สูงขึ้นในอนาคต
4.2.7. จัดให้มีการประชุมวิชาการ หรือการสัมมนาประจำปีร่วมระหว่างวิทยาศาสตร์การกีฬา กีฬาเวชศาสตร์ และกายภาพบำบัดเพื่อส่งเสริมความเข้าใจในหลักการของแต่ละวิชาชีพ และพัฒนาความรู้อย่างมีเป้าหมายสอดคล้องกัน

ข้อสรุป
กายภาพบำบัดทางการกีฬาเป็นองค์ความรู้และทักษะที่สำคัญ และเป็นส่วนหนึ่งของทีมบุคลากรที่ส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาศักยภาพ และสมรรถนะของนักกีฬาได้โดยการทำงานเป็นทีมที่มีความเข้าใจบทบาทหน้าที่ของทุกฝ่าย แนวทางการพัฒนาการกีฬาควรเป็นการพัฒนาทีมงานให้เกิดการสร้างองค์ความรู้และมีการนำไปใช้กับนักกีฬาอย่างเหมาะสม



27 พฤษภาคม 2551

Monday, September 15, 2008

1st National Physical Therapy Conference

The 1st National Physical Therapy Conference co-hosted by PTAT and PT Council will be held on 28-30 April 2009 at the Twin towers hotel in Bangkok. Details for the conference can be found at http://www.thaipt.org/