ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กานดา ชัยภิญโญ
นายกสมาคมกายภาพบำบัดแห่งประเทศไทย
มุมมองต่อวิชาชีพกายภาพบำบัดในปัจจุบัน
ปัจจุบันประเทศไทยยังขาดนักกายภาพบำบัดในระบบบริการทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ ตามโครงสร้างประชากรไทยในปี พ.ศ. 2568 คาดการณ์ว่าจะมีประชากรรวม 72 ล้านคน โดยมีจำนวนประชากรที่เป็นผู้สูงอายุร้อยละ 20 หรือประมาณ 14 ล้านคน ซึ่งประชากรผู้สูงอายุที่มากขึ้นนี้ มีผลกระทบต่อโครงสร้างการให้บริการสาธารณสุขของประเทศ เนื่องจากเป็นกลุ่มประชากรที่มีภาวะเสี่ยงต่อการเป็นโรคเรื้อรังต่างๆ และมีปัญหาในการเคลื่อนไหวและการดูแลตนเอง ซึ่งปัญหาดังกล่าวสามารถป้องกัน ดูแล รักษาและฟื้นฟูด้วยวิธีการทางกายภาพบำบัด
นอกจากกลุ่มประชากรผู้สูงอายุแล้ว สภาพการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจของประเทศสู่สังคมอุตสาหกรรม ยังมีผลต่อวิถีชีวิตของประชาชนไทยที่มีการเคลื่อนไหวลดลง ทำงานในรูปแบบซ้ำๆมากขึ้น ส่งผลต่อความเจ็บป่วยของระบบประสาทกล้ามเนื้อที่ทำให้เกิดภาวะปวดเรื้อรังมากขึ้น ซึ่งปัญหาดังกล่าวมักเกิดกับประชากรวัยทำงานซึ่งหากได้รับคำแนะนำเพื่อส่งเสริมสุขภาพ ป้องกัน และดูแลรักษาทางกายภาพบำบัดที่เหมาะสมจะช่วยลดภาระทางเศรษฐกิจที่เกิดจากความเจ็บปวดเรื้อรังได้ โดยมีรายงานการวิจัยสนับสนุนว่าการป้องกันโรคในระดับทุติยภูมิ (Secondary prevention) ซึ่งหมายรวมถึงการตรวจประเมินความยืดหยุ่นและการจัดเรียงโครงสร้างของข้อต่อ (Joint flexibility and alignment) ก่อนที่จะปรากฏอาการทางคลินิก (McCloy, 2001, p. 314) จะช่วยลดการเกิดภาวะความพิการแบบชั่วคราว และถาวรในผู้ป่วยที่มีภาวะโรคข้อ โรคหัวใจ โรคปอดเรื้อรัง เบาหวาน กระดูกพรุน การหกล้มของผู้สูงอายุ ปวดหลังเรื้อรัง และในผู้หญิงที่มีอาการกลั้นปัสสาวะไม่ได้ (Restall, Leclair & Fricke, 2005).
จากข้อมูลของสภากายภาพบำบัดในปี พ.ศ. 2552 พบว่ามีนักกายภาพบำบัดที่ขึ้นทะเบียนประกอบวิชาชีพกายภาพบำบัดประมาณ 5,200 คน แต่มีนักกายภาพบำบัดที่ยังคงปฏิบัติงานบริการในระบบสุขภาพทั้งภาครัฐและเอกชนเพียง 2,839 คน ซึ่งกระจายอยู่ในหน่วยงานต่างๆ ทั้งในภาคการศึกษา และการบริการสุขภาพ (ข้อมูลจากคณะทำงานกำลังคนกายภาพบำบัด สภากายภาพบำบัด สำรวจเมื่อ มิถุนายน 2552) นอกจากนั้นในระดับปฐมภูมิพบว่าโรงพยาบาลชุมชนที่มีนักกายภาพบำบัดปฏิบัติงานอยู่มีเพียงประมาณ 300 แห่ง จากจำนวนโรงพยาบาลชุมชนทั้งประเทศจำนวน 735 แห่ง โดยแต่ละแห่งที่มีนักกายภาพบำบัด มีจำนวนนักกายภาพบำบัดโดยเฉลี่ยเพียง 1.5 คน (ข้อมูลจาก สปสช. พฤศจิกายน 2552) ซึ่งไม่เพียงพอต่อลักษณะงานของนักกายภาพบำบัดชุมชนที่ต้องให้บริการกายภาพบำบัดในเชิงรุกในการเยี่ยมผู้ป่วยและผู้พิการตามบ้าน ประกอบกับการให้บริการผู้ป่วยในโรงพยาบาลจำเป็นต้องมีนักกายภาพบำบัดอย่างน้อย 2-4 คนต่อโรงพยาบาลชุมชนแต่ละแห่ง ขึ้นอยู่กับจำนวนประชากรในความรับผิดชอบของแต่ละโรงพยาบาล
เมื่อคำนวณกำลังคนนักกายภาพบำบัดในปี พ.ศ. 2552 พบว่ามีสัดส่วนประชากรต่อนักกายภาพบำบัด เท่ากับ 26,097:1 ซึ่งคิดเป็นจำนวนประชากรที่รับผิดชอบ 13-16 เท่าของประเทศที่มีระบบการบริการสุขภาพในระดับมาตรฐานสากลเช่นสหรัฐอเมริกาและแคนาดาที่มีอัตราส่วนประชากรต่อนักกายภาพบำบัดที่ 1,613:1 และ 2,083:1 ตามลำดับ (Landry et al, 2009) และเมื่อเปรียบเทียบกับสัดส่วนประชากรต่อกำลังคนด้านสุขภาพอื่นๆในประเทศไทย เช่น แพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร พยาบาล พบว่าสัดส่วนประชากรต่อนักกายภาพบำบัดมีจำนวนสูงกว่าประมาณ 3-9 เท่า
หากคำนวณจากสัดส่วนประชากรต่อนักกายภาพบำบัดในอัตราเดียวกับประเทศแคนาดา คือ 2,083: 1 ซึ่งในปี 2568 ประชากรไทยจะมีจำนวนประมาณ 72 ล้านคน จึงควรมีนักกายภาพบำบัดถึง 32,180 คน แต่จำนวนนักกายภาพบำบัดโดยรวมที่ผลิตได้ต่อปีในปัจจุบันทั้งจากภาครัฐและเอกชนมีจำนวน 650 คนต่อปี และถึงแม้ว่ากระทรวงสาธารณสุขและสภากายภาพบำบัดได้เล็งเห็นความสำคัญของปัญหาการขาดแคลนกำลังคนกายภาพบำบัดดังกล่าว และได้จัดให้มีโครงการผลิตนักกายภาพบำบัดเพิ่มจำนวนปีละ 100 คนเป็นเวลา 4 ปี รวม 400 คน โดยเป็นส่วนหนึ่งของแผนการลงทุนด้านสุขภาพ พ.ศ. 2553-2556 ในแผนงานการผลิตและพัฒนาบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข และมีกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากสถาบันอุดมศึกษาเอกชน แต่นักกายภาพบำบัดที่ผลิตเพิ่มนี้จะเริ่มเข้าสู่ระบบได้ในปี พ.ศ. 2556 และเนื่องจากการสูญเสียนักกายภาพบำบัดมีอัตราค่อนข้างสูง จากเหตุผลที่เกี่ยวเนื่องกับความมั่นคงและแรงจูงใจในการประกอบวิชาชีพกายภาพบำบัด การเปลี่ยนอาชีพ การไปทำงานในต่างประเทศที่มีค่าตอบแทนสูงกว่ามาก และการเกษียณอายุ นอกจากนั้นการขาดระบบการเสริมสร้างศักยภาพ ตลอดจนความก้าวหน้าทางวิชาการและวิชาชีพ ยังเป็นปัญหาสำคัญในการสร้างแรงจูงใจเพื่อรักษานักกายภาพบำบัดให้อยู่ในระบบบริการสุขภาพอย่างยั่งยืน จึงทำให้จำนวนนักกายภาพบำบัดไม่เพียงพอต่อความต้องการของประเทศ
แนวทางการพัฒนาวิชาชีพกายภาพบำบัด
1. ด้านนโยบาย สภากายภาพบำบัดและสมาคมกายภาพบำบัดแห่งประเทศไทยควรเสนอข้อมูลสถานการณ์กำลังคนนักกายภาพบำบัด และแนวโน้มปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงจำนวน และโครงสร้างประชากรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ด้านสุขภาพของชาติ และหน่วยงานที่เป็นผู้ใช้นักกายภาพบำบัด ประกอบด้วย สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงบประมาณ เพื่อให้ตระหนักถึงปัญหาและหาแนวทางป้องกันและแก้ไข นอกจากนั้นนโยบายระบบสาธารณสุขของประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายของกระทรวงสาธารณสุขควรส่งเสริมให้มีการเข้าถึงบริการกายภาพบำบัดโดยตรง (Direct access) มากขึ้น เพื่อลดภาระด้านงบประมาณ ลดขั้นตอนการปฏิบัติงาน และเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจประเมินความผิดปกติด้านการเคลื่อนไหวตั้งแต่ระยะเริ่มแรกไม่ให้กลายเป็นโรคเรื้อรัง อีกทั้งยังควรส่งเสริมให้ประชาชนมีความเข้าใจระบบสุขภาพ สามารถเลือกรับบริการสุขภาพที่เหมาะสมในเบื้องต้นได้โดยไม่จำเป็นต้องพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทุกครั้ง
2. การพัฒนาและจัดการระบบฐานข้อมูลนักกายภาพบำบัดและสถานพยาบาลกายภาพบำบัด ที่ครอบคลุมทั้งจำนวนการผลิตในปัจจุบัน จำนวนที่มีอยู่ในปัจจุบัน การกระจายตัวของนักกายภาพบำบัด ความต้องการนักกายภาพบำบัดในด้านต่างๆ ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในการประเมินสภาพการคลาดแคลนนักกายภาพบำบัด เพื่อนำไปสู่การพัฒนาที่เหมาะสมกับบริบทของสังคมไทย ซึ่งสมาคมกายภาพบำบัดแห่งประเทศไทยและสภากายภาพบำบัดควรเป็นหน่วยงานกลางในการติดตาม ดำเนินการ และปรับปรุงฐานข้อมูลนี้เป็นประจำอย่างต่อเนื่อง ฐานข้อมูลการให้บริการกายภาพบำบัดจะช่วยให้ประชาชนทั่วไปเข้าถึงการบริการกายภาพบำบัดที่ดีได้อย่างทั่วถึง และจะเป็นพื้นฐานสำคัญในการเข้าถึงบริการกายภาพบำบัดโดยตรง (Direct access) ในอนาคต
3. การจ้างงานนักกายภาพบำบัด ควรมีการกำหนดหลักเกณฑ์ในการจ้างงานภาครัฐให้ชัดเจนว่าเป็นการสนับสนุนงบประมาณเพื่อการจ้างงานนักกายภาพบำบัดโดยตรง ทั้งนี้เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ในการเพิ่มจำนวนนักกายภาพบำบัดในระบบสุขภาพ ไม่ใช่การใช้วิชาชีพอื่นที่ผ่านการอบรมระยะสั้นมาทดแทนเช่นที่เคยเกิดขึ้นในอดีต และในปัจจุบันในบางพื้นที่เช่นในภาคใต้ยังมีความพยายามผลักดันให้มีการอบรมเจ้าหน้าที่เช่นนี้เนื่องจากต้องการผลเร็วในระยะสั้น แต่การปฏิบัติในลักษณะนี้ไม่มีความยั่งยืนและต่อเนื่อง ทั้งนี้เนื่องจากเจ้าหน้าที่ ที่ได้รับการอบรมในระยะเวลาสั้นๆมีทักษะจำกัด และมีข้อจำกัดในการพัฒนาความก้าวหน้าทางวิชาการและวิชาชีพกายภาพบำบัด อีกทั้งยังเป็นการดำเนินการที่ขัดต่อ พรบ.วิชาชีพกายภาพบำบัด เนื่องจากเป็นการส่งเสริมให้มีการบริการกายภาพบำบัดโดยผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ประกอบวิชาชีพ นอกจากนั้นนักกายภาพบำบัดควรตระหนักถึงการสร้างเสริมศักยภาพให้สามารถเป็นผู้ประกอบการคลินิกกายภาพบำบัดเอกชนมากขึ้น เพื่อเปิดโอกาสและทางเลือกให้ประชาชนที่มีความพร้อม สามารถเลือกรับบริการที่เหมาะสมได้โดยไม่ต้องผ่านหน่วยงานของรัฐ
4. การพัฒนาผู้เชี่ยวชาญกายภาพบำบัดเฉพาะด้าน ซึ่งจะเป็นแนวทางที่สถาบันการศึกษาต่างๆต้องมีการปรับตัวสร้างนักกายภาพบำบัดที่มีความเชี่ยวชาญทางคลินิกมากขึ้น โดยไม่มุ่งเน้นเฉพาะการสร้างนักวิจัยอย่างเช่นที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เนื่องจากการสร้างนักกายภาพบำบัดที่มีความเชี่ยวชาญทางคลินิกจะช่วยให้ประชาชนได้รับบริการที่ดีขึ้น โดยหลักสูตรควรเปิดกว้างในผู้เรียนสามารถเลือกเรียนได้ตามอัธยาศัย มีการสะสมผลการเรียนในแต่ละช่วง และสามารถรวบรวมให้ครบตามหลักสูตรของสถาบันการซึกษษ และยื่นขอสอบเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีวุฒิบัตรรับรองจากสภากายภาพบำบัดได้
การพัฒนาวิชาชีพกายภาพบำบัดนั้นจะประสบความสำเร็จได้ โดยวัดจากการเข้าถึงบริการที่มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องมีการพัฒนานักกายภาพบำบัดให้มีความสามารถเฉพาะที่โดดเด่นในความเป็นมืออาชีพด้านกายภาพบำบัดที่แตกต่างจากวิชาชีพสุขภาพอื่นๆ ในขณะที่สามารถประสานเชื่อมโยงกับระบบสุขภาพของประชาชนได้ ปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือนักกายภาพบำบัดทุกคนตระหนักถึงความรับผิดชอบในวิชาชีพ และมีความตั้งใจในการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง
เอกสารอ้างอิง
Boissonnault, W.G. (2005). Primary care for the physical therapist: Examination and triage. St. Louis , Missouri : Elsevier Ltd.
Landry MD, Ricketts TC, Fraher E, Verrier MC. Physical therapy health human resource ratios: A comparative analysis of the United States and Canada . Phys Ther, 2009, 89(2), 149-161.
Restall, G., Leclair, L., & Fricke, M. (2005). Integration of occupational therapy and physiotherapy services in primary health care in Winnipeg . Winnipeg , Manitoba : University of Manitoba .
Roberts, C., Adebajo, A. O., & Long, S. (2002). Improving the quality of care of musculoskeletal conditions in primary care. Rheumatology, 41(5), 503-508.
บทความนี้ดีจังค่ะ ขออนุญาตินำไปอ้างอิงในวิทยานิพนธ์นะค่ะอาจารย์
ReplyDelete